โน้ตเพลงแรกที่มนุษย์ร้องได้แว่วหายไปในอากาศเป็นเวลานานเสียจนเราไม่มีวันจะรู้ว่ามนุษย์เริ่มรู้จักร้องเพลงตั้งแต่เมื่อใด ถึงกระนั้นนักโบราณคดีและนักมานุษยวิทยาก็รู้ดีว่า มนุษย์รู้จักร้องเพลงก่อนที่จะรู้จักเขียนหนังสือ เพราะได้พบหลักฐานว่าชาว Sumerian รู้จักร้องรำทำเพลงตั้งแต่สมัยก่อนคริสตกาลประมาณ 3,600 ปี และเมื่อมีการเต้นรำบูชาเทพเจ้า นั่นหมายความว่า ชนเผ่านี้มีความสามารถในการทำอุปกรณ์ดนตรีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนตัวอักษรที่ชาว Sumerian รู้จักประดิษฐ์ขึ้นใช้นั้น ได้เพิ่งอุบัติเมื่อประมาณ 5,000 ปีมานี้เอง
ทฤษฎีมานุษยวิทยาปัจจุบันเชื่อว่า เสียงดนตรีเสียงแรกคงเป็นเสียงตะโกนที่มนุษย์ใช้ในการส่งสัญญาณเวลามีภัย และมนุษย์ได้ พบว่าเวลาที่เขาเปลี่ยนระดับเสียงให้สูงขึ้นหรือต่ำลงแล้วเปล่งเสียงไปกระทบผนังถ้ำหรือหน้าผา ความกึกก้องของเสียงสะท้อน คงทำให้เขาตกตะลึงด้วยความตื่นเต้น และเมื่อเขาตะโกนซ้ำๆ โดยให้เสียงมีความถี่และความดังต่างๆ กัน เขาก็ได้พบว่าเสียง สะท้อนมีความชัดและจังหวะที่หลากหลาย จากนั้นมนุษย์คงได้เริ่มรู้จักจังหวะดนตรี โดยวิธีปรบมือ กระทืบเท้า ใช้มือตีขอนไม้ เป็นจังหวะ ดังนั้น เราจึงอาจกล่าวได้ว่า ขอนไม้เป็นอุปกรณ์ดนตรีชิ้นแรกที่มนุษย์รู้จักใช้ในการให้จังหวะ
หรือเมื่อถึงเวลาล่าสัตว์ นายพรานยุคดึกดำบรรพ์บางคนที่อาศัยอยู่ใกล้ทะเลอาจใช้วิธีเป่าเปลือกหอยขนาดใหญ่ เพื่อบอกตำแหน่ง ของตนและเหยื่อ เพราะเขาได้พบว่าเสียงเป่าหอยสามารถเดินทางไปได้ไกลกว่าเสียงตะโกน ดังนั้นคนเหล่านี้อาจใช้จังหวะการเป่า เป็นสัญญาณสื่อสารถึงกันได้เช่น ส่งเสียงดังสองครั้งแสดงว่าเหยื่ออยู่ทางซ้าย หรือสัญญาณเสียงสามครั้งแสดงว่าเหยื่ออยู่ทางขวา เป็นต้น
ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เราเห็นว่า มนุษย์สร้างดนตรีขึ้นมาอย่างมีจุดมุ่งหมาย เช่น ใช้ในการล่าสัตว์หรือในพิธีเทวบูชา หรือเพื่อ ความสำราญ
เมื่อความสามารถในการสร้างสรรค์ของมนุษย์มีมากขึ้น มนุษย์ได้พบว่าก้อนหินในถ้ำเวลานำมากระแทกกัน สามารถให้เสียงที่ทำให้ ตนรู้สึกสุขได้หรือเวลาเอาหนังสัตว์ที่แห้งมาขึงให้ตึง แล้วใช้ไม้ตีเขาจะได้ยินเสียงสูงๆ ต่ำๆ และถ้าเขานำหนังสัตว์ไปขึงปิดปากภาชนะ แล้วตีด้วยไม้หรือมือ ภาชนะดังกล่าวจะทำให้เขาได้ยินเสียงดังกังวาน นี่คือเทคโนโลยีการทำกลองรุ่นแรกๆ
ส่วนคนที่ชอบยิงธนูก็ได้พบว่า สำหรับคันธนูที่มีเชือกขึงเวลาเขาดีดเชือกจะมีเสียงเกิดขึ้น และถ้าเขาเปลี่ยนตำแหน่งของเชือกแล้ว ดีดใหม่เสียงที่ได้ยินจะดังไม่เหมือนเดิม
นี่คืออุปกรณ์ที่เราทุกวันนี้รู้จักกันในนามว่า พิณ ซึ่งนักโบราณคดีก็ได้เห็นภาพของพิณโบราณปรากฏบนผนังกำแพงเมือง Ur ของชาว Sumerian ที่มีอายุประมาณ 4,600 ปี และที่ผนังหลุมฝังศพของฟาโรห์ Nebamun ที่เมือง Thebes ในอียิปต์ก็มีภาพ แสดงนักดนตรีกำลังเล่นอุปกรณ์ดนตรีชนิดหนึ่งที่เรียกว่า lute (พิณที่มีลักษณะคล้ายน้ำเต้า) เมื่อ 3,400 ปีก่อนนี้ คัมภีร์ไบเบิล มีการกล่าวถึงเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งที่เรียกว่า psaltery ซึ่งทำด้วยกล่องไม้ที่มีเชือกพาดเหนือกล่อง และสามารถให้เสียงได้ เวลาคนเล่นดีดเชือก
ส่วนอุปกรณ์ดนตรีประเภทขลุ่ยนั้น คงเกิดจากการที่มนุษย์โบราณได้พบว่า เวลาเขาบริโภคไขกระดูกที่มีในกระดูกสัตว์แล้ว กระดูก กลวงที่ถูกเจาะเป็นรูเวลาเป่าจะให้เสียงได้เช่นกัน
เมื่อมนุษย์รู้จักทำอุปกรณ์ดนตรีเหล่านี้และพบว่ามันสามารถให้เสียงได้ต่างๆ นานา คงมีความรู้สึกว่าอุปกรณ์ดนตรีเป็นอุปกรณ์ลึกลับ ที่คนพิเศษเท่านั้นจะสามารถเล่นมันได้ และนี่ก็คือที่มาของบรรดาพ่อมดแม่มดทั้งหลายที่อ้างความศักดิ์สิทธิ์ของตัวเอง โดยการร้องเพลง เต้นระบำและตีเป่าอุปกรณ์ดนตรีในเวลาเดียวกัน
ในเวลาต่อมา ความก้าวหน้าทางอารยธรรมของมนุษย์ ได้ผลักดันให้กระบวนการทำอุปกรณ์ดนตรีเพื่อการละเล่น เปลี่ยนสภาพจาก งานอดิเรกที่คนทำอุปกรณ์ไม่จริงจังหรือตั้งใจอะไร มาเป็นงานอาชีพชนิดหนึ่งที่มีความเป็นศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์มากขึ้น
ในเวลาต่อมาก็ได้พบว่า อุปกรณ์ที่มีรูปร่างและความสามารถในการทำเสียงต่างๆ กันนี้ เวลาถูกนำมาเล่นพร้อมกัน จะทำให้คนฟัง ได้ยินเสียงดนตรีที่มีความไพเราะ นุ่มนวล แต่การที่จะได้ยินเพลงที่ไพเราะจับใจเช่นนั้นวงดนตรีนั้นต้องมีคนควบคุม และนี่ก็คือ ที่มาของผู้อำนวยเพลง
เมื่อการสร้างอุปกรณ์ดนตรีและเทคนิคการเล่นดนตรีได้รับการพัฒนายิ่งขึ้น มนุษย์ก็รู้สึกคุ้นเคยกับเสียงดนตรีมากขึ้น ดังนั้น ตามสถานที่ต่างๆ ก็มีการเล่นดนตรีมากขึ้น เช่น ในขบวนสวนสนามก็มีการใช้ดนตรีประกอบ ในพิธีเฉลิมฉลองต่างๆ ก็มีการเล่นดนตรี หรือเวลากองทหารเข้าประจัญบานก็มีเสียงดนตรีนำและแม้กระทั่งคนขายของก็นิยมใช้เสียงดนตรีในการโฆษณา เพราะได้พบว่า เสียงดนตรีที่ดีและดังจะทำให้ลูกค้าสนใจและธุรกิจรุ่งเรือง และในพิธีกรรมทางศาสนาบางศาสนาก็มีการร้องเพลง แต่สำหรับ ศาสนาบางศาสนาการร้องเพลงในศาสนสถานคือกิจกรรมต้องห้ามเพราะถือว่าเป็นการลบหลู่สถานศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น
ความสนใจของนักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันต่อดนตรีมีหลายประเด็น เช่น
เมื่อประมาณ 4 ปีก่อนนี้ G. Shaw และ F. Rauscher แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่ Irvine ได้เสนอรายงานวิจัยที่แสดงให้ เห็นว่า ดนตรีสามารถทำให้คนมีความสามารถในการวิเคราะห์หาความเป็นเหตุเป็นผลได้ดีขึ้น โดยเขาทั้งสองได้พับกระดาษซ้อนกัน หลายชั้นแล้วตัดมุมของกระดาษที่พับนั้นออก จากนั้นเขาได้ให้นิสิตมหาวิทยาลัย 3 กลุ่ม บอกให้ได้ว่าแผ่นกระดาษที่ถูกตัดมุมออกไปนั้น เมื่อนำมากางออกจะมีรูปร่างอะไร
บล็อก เพื่อ คนที่รักใน เสียงดนตรี เครื่องดนตรี การเล่นดนตรี เพื่อนๆ สามารถมาแลกเปลี่ยนความรู้กันได้ครับ
ปฏิทิน ทีมจัง
วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
สาระน่ารู้ สู่การฝึกซ้อมดนตรีให้ดีขึ้น
ช่วงเวลาในเเต่ละชั่วโมงของการซ้อมกลองนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญในการพัฒนาฝีมือของตนเองอย่างมาก โชคร้ายที่คนส่วนใหญ่นั้นไม่ได้ฝึกซ้อมกันอย่างจริงจัง หรือฝึกไม่ถูกวิธี แก่นสารในการฝึกซ้อมที่ดีนั้น ควรฝึกให้ถูกต้องอย่างสมบูรณ์ เพราะฉะนั้นไปดูกันเลยว่าหลักใหญ่ ๆ ของการซ้อมดนตรีที่ดีนั้นมีอะไรบ้าง
การฝึกซ้อมทำให้เล่นได้อย่างสมบูณณ์แบบ
นักดนตรีที่ดีทุกคนรู้ว่าการฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งจำเป็น แต่คุณรู้ไหมว่าการฝึกแบบไม่เอาจริงนั้นจะทำให้ฝีมือคุณแย่ลง ก่อนที่คุณจะบอกทางบ้านหรือบอกคุณครูสอนดนตรีว่าคุณตัดสินใจจะไม่ฝึกซ้อมแล้ว ขอให้คิดถึงคำว่า ใคร? อะไร? เมื่อไหร่? ที่ไหน? และ อย่างไร? ของการฝึกซ้อมที่จะช่วยทำให้คุณเล่นดีขึ้นและมีความสุขกับดนตรีมากกว่าที่เป็นอยู่
ใคร? (WHO)
'ตัวคุณเอง' นั่นเเหละ การฝึกซ้อมที่ดีขึ้นอยู่กับจิตใจ ร่างกาย อารมณ์ของคุณ และดนตรี ผู้ปกครองหรือครูของคุณอาจจะบังคับให้คุณใช้เวลากับการเล่นโน้ตเพลง แต่ 'ตัวคุณเอง' เท่านั้นที่สามารถสร้างสมาธิและใส่อารมณ์ไปกับเสียงดนตรีที่คุณสร้างขึ้น จะทำให้เสียงดนตรีที่คุณบรรเลงมีความไพเราะและน่าประทับใจ
อะไร? (WHAT)
การฝึกซ้อมที่จะทำให้การเล่นพัฒนาจนสมบูรณ์แบบประกอบด้วย
-การวอร์มอัพ
-ทบทวนสเกลต่างๆ, แบบฝึกหัด Etude หรือเพลงต่างๆ ที่คุณได้เรียนมาแล้ว
-เพลงใหม่ๆ ที่ได้รับมอบหมาย
-เพลงที่คุณอยากจะเล่นให้ได้อย่างจริงจังหรือเล่นเพื่อความสนุก (หรือบางทีอาจจะเป็นเพลงที่คุณแต่งขึ้นเองก็ได้)
เมื่อไหร่? (WHEN)
ดร.Shinishi Suzuki กล่าวถึงการซ้อมดนตรีไว้ว่า "ซ้อมเฉพาะวันที่คุณทานข้าวเท่านั้น" การวางแผนการซ้อมที่ดีที่สุดคือการทำให้มันกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน ถ้าคุณรู้ว่าคุณต้องฝึกซ้อมในแต่ละวันให้เป็นเวลา มันจะดำเนินไปโดยมีข้อยกเว้นไม่มากนัก
อย่างไร? (HOW)
หัวข้อนี้ถือเป็นคำถามที่สำคัญมาก นักเรียนหลายๆ คนเล่นโดยเล่นตะลุยดะไปทั้งเพลงหรือตามที่ได้รับมอบหมาย (ส่วนใหญ่ต้องการจะเล่นให้เป็นเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้) ราวกับว่ากำลังเล่นในคอนเสิร์ทรีไซทัล คือเล่นต่อไปเลยไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เงินไม่สามารถซื้อความสำเร็จที่ทำให้คุณเล่นดีขึ้นได้ แต่การใช้เวลาการฝึกซ้อมที่ดีสามารถทำได้ ข้อความข้างล่างนี้คือเคล็ดลับที่ทำให้การฝึกซ้อมของคุณมีค่ากลายเป็น ''เงิน" ขึ้นมา
-ตั้งเป้าหมายในการฝึกแต่ละแบบฝึกหัดให้สำเร็จ
-คุณควรจะมั่นใจว่าแต่ละท่อนแต่ละววรคควรจะเล่นให้มีเสียงอย่างไร
ฝึกซ้อมท่อนที่ท้าทายที่สุดก่อนเป็นลำดับแรก
พยายามแยกย่อยเพลงออกเป็นส่วนเล็กๆ (คุณกินวัวทั้งตัวแบบไหน? คงไม่กินทีเดียวทั้งตัวแน่ๆ)
-ทบทวนแต่ละท่อนหลายๆ ครั้งหลังจากที่คุณเล่นได้แล้ว
-ก่อนจบการฝึกซ้อมในแต่ละส่วน ให้เล่นทั้งเพลงอีกครั้ง และมีความสุขไปกับมัน
ที่มา http://www.bangkokdrums.com/index.php?option=com_content&view=article&id=157:12-&catid=52:tips-and-tricks&Itemid=88
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)


